สติสัมปชัญญะคือที่พึ่งของครูและเด็ก
:: บทสนทนาระหว่าง รศ.ประภาภัทร นิยม อธิการบดีสถาบันอาศรมศิลป์ และผู้ก่อตั้งโรงเรียนรุ่งอรุณ และครูรุ่งอรุณ ในการอบรมผ่านระบบออนไลน์ “หลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะ โรงเรียนรุ่งอรุณ” วันที่ ๔-๕ พฤษภาคม ๒๕๖๔
ครูกรรไกร: เราจะทำอย่างไรให้ดึงศักยภาพของเด็กออกมา ให้อยู่รอดปลอดภัยในยุคนี้ได้ เรามักเข้าข้างตัวเองว่าเราพาเขาสู่เป้าหมาย แต่ไม่รู้ว่าที่เราทำไปมันพอแล้วหรือยังสำหรับเด็ก
รศ.ประภาภัทร: การเป็นครูต้องคิดง่ายๆ ว่า นักเรียนเขาจะเป็นอย่างไร เขาก็เป็นเหมือนครูนั่นล่ะ ครูกรรเป็นอย่างไร นักเรียนก็เป็นอย่างนั้น ครูกรรมีความคิดแบบไหน นักเรียนก็คิดแบบนั้น ครูกรรมีความเมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มากน้อยแค่ไหน นักเรียนเขาจะเป็นแบบเรา เขาจะมีความสุขุมลุ่มลึกแค่ไหน ก็เป็นเท่าที่เราเป็น เขาอาจจะเป็นได้มากกว่านั้น ถ้าเขามีฐานทุนเดิมที่ดี แต่เขาจะเป็นเหมือนเรา จึงต้องกลับมาที่ตัวเรา เราทำไม่ได้หมดทุกอย่าง ใช่ไหม แล้วจะทำอย่างไรล่ะ
ครูกรรไกร: ตอนนี้พยายามพัฒนาตนเอง เช่น เรายังแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไม่ดี เรายังตอบคำถามนักเรียนได้ไม่ดี เราก็ดูตัวอย่างจากพี่ๆ ว่าเขาทำอย่างไร แล้วลองปรับกับตัวเอง แต่เรามีความกังวล การคุมชั้นเรียนไม่คงที่ มันรวนตามสภาพอารมณ์จิตใจของเรา
รศ.ประภาภัทร: คุณไม่มีทางจะควบคุมห้องเรียนได้เลย พระพุทธเจ้าได้ชื่อว่ามีปัญญาสูงสุดในโลก ในจักรวาล ยังทำไม่ได้ใน ๔ เรื่อง
๑. แก้กฎแห่งกรรมไม่ได้ เปลี่ยนผลแห่งกรรมของใครไม่ได้ คนนั้นต้องเปลี่ยนเอง
๒. เปลี่ยนวาสนาใครไม่ได้ คนนั้นต้องเปลี่ยนเอง
๓. จะแสดงธรรมลึกล้ำแค่ไหน จะให้เขาเข้าใจตามความลึกล้ำนั้นโดยการแสดงธรรมไม่ได้ เขาต้องเข้าใจเอาเอง
๔. ให้ปัญญาแก่ใครไม่ได้ ต้องฝึกฝนเอาเองจึงจะเกิดปัญญาได้
เพราะฉะนั้นเราอย่าไปคิดควบคุม พระพุทธเจ้าทำได้อย่างเดียว คือ ทำพระองค์เองให้เป็นแบบอย่าง เป็นที่พึ่ง ครูต้องเป็นเช่นนั้น
พระพุทธเจ้ามีวิธีสอน คือ สอนจากเรื่องของแต่ละคนที่อยู่ตรงนั้น จากสถานการณ์ตรงนั้น จากที่เขาติดตรงนั้น ไม่ใช่สอนจากสิ่งที่เราอยากสอนหรือสิ่งที่เรามี แต่เราต้องเป็น อยากให้เด็กเป็นนักปราชญ์ เราต้องเป็นนักปราชญ์ก่อน เราต้องทำที่ตัวเอง อยากให้เด็กมีความคิดลึกซึ้ง คิดเชิงระบบคุณค่า ครูต้องเป็นเช่นนั้นก่อน ต้องปรับให้ถูกจุด ปรับที่จุดเดียว คุณต้องปรับที่สติสัมปชัญญะของคุณเอง
ครูต้องไปหาขุมทรัพย์ในตัวเอง ปฏิบัติงานให้เป็นการปฏิบัติธรรม เราจะใช้สติปัญญาของเราออกมาทำงาน ไม่ใช่ตัวเราที่เป็นทิฐิมานะ แต่เป็นตัวสติปัญญาแท้ๆ ของเราออกมาทำ แล้วรุ่งอรุณจะเติบโตไปแบบนี้ ไม่อย่างนั้นคุณจะทำเรื่องยากแล้วทุกข์