วันที่หมาของฉันป่วย
โดย นางสาววรนิพิฎ วิชพันธุ์ (พิม) ชั้น ม.๕
ที่มา: adaymagazine.com
เมื่อ 8 ปีก่อน ฉันอยู่ ป.4 และได้รับโอกาสในการเลี้ยงหมาครั้งแรกในชีวิต โอกาสนี้เข้ามาหาฉันอย่างไม่ได้ตั้งใจ… จากหมาของเพื่อนบ้าน กลายมาเป็นหมาของบ้านเรา เนื่องจากเจ้าของหมาคนเก่าอยากเอามันไปเฝ้าบ้านที่ต่างจังหวัด เพราะมันทั้งดื้อ ปากเปราะ และชอบกัดทำลายของ กัดแม้กระทั่งเจ้านาย จะพยายามควบคุมมัน ก็ทำไม่ได้ ทำให้บางครั้งที่มันทำผิด จึงโดนลงโทษหนัก จนครอบครัวของฉันสงสารมัน ขอรับมันมาเลี้ยง และกลายมาเป็น ‘ชิ’ ของบ้านฉันในที่สุด
ชื่อชิ มาจากทาเคชิ เป็นชื่อที่เจ้าของก่อนหน้าใช้เรียกชิ แต่พอมาอยู่บ้านใหม่ก็ถูกเรียกสั้นๆ ว่า ‘ชิ’ ชิเป็นหมาสีขาวทั้งตัวพันธุ์เจแปนนิส สปิตซ์ หน้าตาน่ารัก ขนาดตัวก็ไม่ใหญ่ไม่เล็กจนเกินไป แรกพบกับชิ ฉันก็ชอบมันและดีใจที่ได้เลี้ยงหมาเป็นครั้งแรก เป็นความฝันเหมือนเด็กทั่วๆ ไปที่อยากมีสัตว์เลี้ยงน่ารัก แรกๆ บ้านของฉันต้องปรับตัวเพื่อต้อนรับสมาชิกใหม่ ซึ่งฉันก็ได้รับมอบหมายหน้าที่ในการดูแลชิด้วย นั่นก็คือการเช็ดอึ เช็ดฉี่ และให้อาหารในวันที่แม่บ้านไม่มาทำงาน คือ วันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์รวม 3 วัน
งานที่ฉันได้รับมอบหมายมา อาจจะดูง่ายๆ แต่สำหรับตัวฉันในเวลานั้นที่อยู่ในสถานะของลูกคนเดียวที่ถูกตามใจมาแต่เล็ก ฉันจึงมีนิสัยขี้รำคาญ หงุดหงิดง่าย ไม่ค่อยอดทน ชอบมีข้ออ้างต่างๆ มาอ้างทั้งกับตัวเองและกับคนอื่น เมื่อมีน้องใหม่เข้ามาเพิ่มงานที่ไม่เคยทำมาก่อน มันจึงดูยากและน่ารังเกียจที่ต้องมาเช็ดอึและฉี่เหม็นๆ ทั้งยังต้องคอยเติมข้าวเติมน้ำให้มีอยู่ในชามตลอด เพราะเมื่อไหร่ที่แม่หรือน้าเจอว่าอาหารหรือน้ำในชามข้าวของชิหมด ก็จะว่าฉันได้
ช่วงแรกของการปรับตัวอยู่กับบ้านใหม่ของชิค่อนข้างจะทุลักทุเล เราต้องเป็นผู้ปรับตัวเข้าหามันมากกว่าที่จะบังคับมันให้อยู่ในโอวาทได้ อาจเพราะอายุของมันตอนที่มาอยู่บ้านใหม่ก็ประมาณปีกว่าแล้ว ทำให้นิสัยที่มีติดตัวมาอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นอยู่ แก้ได้ยากมาก ชิจะมีนิสัยที่ชอบเห่า ขี้ระแวง และกัดทุกอย่าง ไม่เว้นแม้แต่คนในบ้าน…
ทำให้ฉันจากที่เคยชอบก็กลับไม่ชอบที่มันชอบเห่าเสียงดัง เอาแต่ใจ จะออกไปข้างนอกบ้านก็เขี่ยประตู ขูดจนประตูแทบจะพังถ้าเราไม่ยอมเปิดให้ ชอบกัดทำลายข้าวของ ขาเก้าอี้และโต๊ะไม้สักทุกตัว รองเท้า ทิชชู่ และกัดฉันด้วยในบางครั้งที่มันไม่พอใจ …ฉันจึงมองว่ามันเป็นหมาไม่ดี แว้งกัดแม้แต่เจ้าของทั้งเก่าและใหม่ บวกกับการที่ฉันต้องมาเช็ดอึเช็ดฉี่เหม็นๆ ให้มันที่ฉี่อึในบ้าน จะสอนจะดุด่ายังไงมันก็ยังไม่เลิกนิสัยนี้ ทำให้เมื่อมันเข้ามายุ่มย่าม มาเห่าให้เปิดประตู หรือมาทำอะไรก็ตามกับฉัน ฉันจะไม่ชอบ และผลักไสมันไปไกลๆ ด้วยความรำคาญ
ความรู้สึกของฉันกับชิตอนนั้นจึงเป็นแค่ผู้อยู่ร่วมบ้านเดียวกันที่ฉันต้องอดทนอยู่กับมันไปเท่านั้น นานเข้ามันก็เริ่มไม่อยู่ในสายตาของฉัน
ผ่านไปไม่นาน ชิก็เริ่มโตขึ้น และพอจะเข้ากับวิถีชีวิตในบ้านใหม่ได้ นิสัยก็เริ่มเปลี่ยนไป จากหมาที่ชอบกัดข้าวของเละเทะ ก็เริ่มกัดน้อยลง รวมถึงกัดคนในบ้านน้อยลงด้วย แต่ถึงกระนั้น ฉันก็ยังไม่ค่อยชอบมัน เพราะยังชินแต่กับนิสัยที่มันชอบกัดทำลายของและไม่ฟังใคร มีแต่น้าเท่านั้นที่อยู่บ้านกับมันบ่อยที่สุด และพอจะรับนิสัยมันได้
มีคืนหนึ่ง ชิป่วยเป็นไข้ ไม่ยอมกินอาหารหรือน้ำ ฉันซึ่งเป็นคนสังเกตเห็นคนแรกจึงบอกที่บ้าน เราจึงเริ่มคิดที่จะพามันไปหาหมอ แต่การอุ้มชิ และพามันไปหาหมอเป็นเรื่องที่ทุลักทุเลมาก เนื่องจากชิเป็นหมาที่ขนาดตัวใหญ่ประมาณหนึ่ง และมีนิสัยขี้ระแวงมาก ชอบวิ่งออกไปนอกบ้านไปยังถนนในหมู่บ้านทุกครั้งที่มีโอกาส เมื่อถูกอุ้มจึงดิ้นมาก และไม่ยอมเข้าไปร้านหมอ
ในที่สุดน้าของฉันก็พามันเข้าไปได้ ชิถูกวางบนโต๊ะตรวจของหมอ เรา 4 คนที่ไปด้วยตอนนั้นต้องทำหน้าที่จับชิไว้ไม่ให้ดิ้นไปแว้งกัดหมอตอนหมอฉีดยา และเจาะเลือด ชิทั้งเห่า กัด และดิ้นอย่างสุดชีวิตเหมือนรู้ว่าจะต้องเจอกับอะไร เมื่อเข็มแทงลงไปยังเนื้อของมัน ชิก็ทั้งดิ้นและร้องแสดงความรู้สึกกลัวอย่างที่สุดที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน ชิฉี่ราดลงบนโต๊ะตรวจของหมอ มันเป็นภาพที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน และยังติดตาจำได้จนถึงทุกวันนี้
หลังจากวันนั้น ฉันก็เริ่มเฝ้าสังเกตมันมากขึ้นๆ โดยไม่รู้ตัว ฉันจึงได้รู้นิสัยของชิมากขึ้น รู้ว่ามันเริ่มจะป่วยตอนไหน และจะรู้ว่าชิมีไข้โดยจับที่หูของมันแล้ววัดเอาว่ามันตัวร้อนขึ้นหรือเปล่า ทำให้ฉันเป็นคนเดียวในบ้านที่แยกแยะได้ว่าชิมาเห่าจะกินขนมหรือจะออกจากบ้านหรือจะขึ้นไปบนที่นอน ยิ่งจับตาดูมันมากขึ้น ฉันก็ยิ่งมีความรู้สึกผูกพันและมองเห็นมุมน่ารักของมันมากขึ้นเรื่อยๆ
จากที่เคยโกรธและตะคอกใส่ชิเมื่อมันกัดของพังกระจุยกระจาย ฉันก็เริ่มที่จะใจเย็นลงและเก็บของให้เป็นระเบียบมากขึ้น เมื่อมันฉี่อึในบ้าน ฉันก็คอยเช็ดทำความสะอาดให้ละเอียดให้กลิ่นจางไปชิจะได้ไม่มาฉี่อึซ้ำในบ้าน ฉันพยายามเข้าใจและไม่ไปรำคาญเมื่อมันปืนเก้าอี้ เกาะโต๊ะ และใช้เท้าตะกุยข่วนขาฉันเวลากินข้าว ฉันเลือกที่จะเหลือเนื้อบางส่วนที่รสจืดๆ ในจานไว้ให้ชิพอได้กินให้หายอยาก
พักหลังมานี้ฉันจึงรู้สึกว่า เราจึงได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้นในวันหยุด ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เราก็อยู่ด้วยกัน แต่เป็นฉันที่ไม่เคยให้ความสำคัญและมองชิในสายตา
พอลองย้อนดู ฉันรู้สึกเปลี่ยนแปลงไปกว่าแต่ก่อนมาก ชิช่วยฝึกให้ฉันอดทน เป็นคนใจเย็นลง ละเอียดอ่อน และเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น ฉันอาจพูดไม่ได้เต็มปากเต็มคำว่าหลังจากได้เจอชิ ฉันสามารถเปลี่ยนแปลงไปเป็นคนใหม่ได้ แต่ฉันมั่นใจว่า ชิเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง เป็นชิ้นส่วนสำคัญที่หล่อหลอมให้ฉันเป็นอยู่ทุกวันนี้ ขอบคุณที่เราได้เจอกันและใช้เวลาร่วมกันมากว่า 7 ปีแล้ว…
:: บทความชิ้นนี้เป็นผลงานในวิชาภาษาไทย ระดับชั้น ม.๕ ภาคเรียนที่ ๒/๒๕๕๙ โรงเรียนรุ่งอรุณ เพื่อพัฒนาทักษะภาษาด้านการเขียน จากโจทย์ a day that changed my life ชวนนักเรียนย้อนมองตัวเองถึงเรื่องราวที่สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับตัวเอง แอที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนมุมมอง หรือเปลี่ยนพฤติกรรม แล้วเรียบเรียงเขียนบอกเล่าออกมาให้น่าสนใจ ซึ่งได้รับเลือกลงในคอลัมน์ a day that changed my life เว็บไซต์ a day Magazine Online วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๙