KMรุ่งอรุณ : ไม่น่าเชื่อว่ามนุษย์นี้เรียนรู้ได้มากกว่าที่ครูเคยคิด
เรื่อง : ครูเปรมปรีติ หาญทนงค์ (ครูปุ๊)
ครูใหญ่ฝ่ายมัธยม โรงเรียนรุ่งอรุณ
สวัสดีครูปุ๊ที่รัก
ฉันมีนักเรียนคนหนึ่งในชั้นเรียนที่ดูเงียบๆ ไม่ค่อยพูด เรียกได้ว่าไม่พูดเอาเสียเลย หากจะพูดถึงเรื่องของการเขียน สำหรับฉันยังเห็นว่าอยู่ในขั้น “ทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง” ขึ้นอยู่กับว่างานนั้นง่ายหรือยาก ค่อนไปทางที่จะเขียนไม่ได้เสียมากกว่า เอาเป็นว่ายังไม่มีชิ้นงานที่แสดงทักษะทางภาษาที่ดีในช่วงที่ผ่านมาก็แล้วกัน
นักเรียนคนนี้ก็แทบไม่มีส่วนร่วมใดๆ ในชั้นเรียนเอาเสียเลย จนแทบไม่มีคะแนนจะให้ จริงๆ ฉันก็บอกกับตัวเองไปแล้วว่า ฉันคงไม่สามารถมองหาทางเข้าสำหรับการเรียนของนักเรียนคนนี้ได้ ฉันเองก็ไม่รู้จะให้เธอทำอะไรเช่นกัน สิ่งที่ฉันทำได้ก็เพียงแค่หาทางให้เธอมีส่วนร่วมในกิจกรรม เช่น ให้ค้นหนังสือ หรือไม่ก็ให้ร่วมนำเสนอ ซึ่งหากมองผ่านการให้คะแนนทางเนื้อหาและการอธิบายก็พอให้ผ่านได้ โดยฉันได้ปรับเกณฑ์การประเมินลงไปอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นเพื่อนๆ ในห้องก็ไม่อยากทำงานกับนักเรียนคนนี้เอาเสียเลย เพราะเธอช่วยงานไม่ได้มาก
เรื่องของนักเรียนคนนี้เป็นโจทย์ในใจของฉันมานาน จนวันหนึ่งได้คุยกับพ่อแม่ของเธอ ในฐานะที่เป็นครูประจำชั้น เนื่องจากลูกสาวเรียนเลขไม่ได้ พ่อแม่จึงอยากให้เรียนภาษาจีนแทน วันนั้นผู้ปกครองได้รวบรวมงานทั้งหมดที่ลูกของตนเก็บไว้ในแฟ้มงานมาด้วย การพูดคุยปรึกษาเรื่องการเรียนในวันนั้นพลอยทำให้ฉันได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้ปกครองของนักเรียนผู้นี้ไปยังเรื่องอื่น
ฉันได้เห็นว่านักเรียนของฉันเก็บงานเขียนของตัวเองไว้เยอะ ซึ่งก็เป็นงานเขียนตามโจทย์ของวิชาต่างๆ บางชิ้นงานก็มีการเขียนเพียงสองสามบรรทัด แต่สังเกตได้ว่างานเขียนของเธอจะยาวขึ้นเมื่อเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเอง มีบางชิ้นงานที่เมื่อฉันอ่านดู แวบแรกทำให้ฉันคิดว่า นักเรียนคนนี้ต้องมีอะไรในใจมากกว่าที่คิด หรือเธออาจเป็นอะไรมากกว่าที่ฉันรู้ เช่นความผิดปกติในการรับรู้ หรือบกพร่องในบางด้าน ขอโทษจริงๆ ที่ฉันจำตัวอย่างไม่ได้ แต่พอจำได้ถึงความรู้สึกและความคิดเห็นของตัวเองที่ว่า งานเขียนของนักเรียนหลายชิ้นดูประหลาดในสายตาของของฉัน มันเหมือนเป็นเรื่องแต่งเอง ไม่มีจริง แต่แม่ของเธอบอกว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงกับเธอตอนเด็ก
ชิ้นงานหนึ่งที่ทำให้ฉันเข้าใจว่าทำไมนักเรียนจึงไม่พูดที่โรงเรียนเอาเสียเลย ก็คืองานเขียนที่มีเพียง๒-๓ บรรทัดซึ่งมีเนื้อหาทำนองว่า เจ้าตัวรู้ว่าการที่ไม่พูดจะทำให้เรียนไม่ได้ดี ช่วยงานเพื่อนไม่ได้ และเธอก็เล่าต่อว่าเมื่อตอนที่ยังเด็กมากราวอนุบาลหรือ ป.๑ มีครูคนหนึ่งบอกกับเธอว่า หากเธอไม่พูดก็ให้ไปเรียนโรงเรียนคนใบ้ ไม่ต้องพูดถึงความรู้สึกในเวลานั้นของผู้ที่ได้ยินจะรู้สึกกันอย่างไร ฉันเองก็สะเทือนใจไม่น้อย นี่คงเป็นเหตุของการไม่มีส่วนร่วมในชั้นเรียนของเธอตลอดมาเพราะขาดความเชื่อมั่นอันเนื่องด้วยคำพูดของครูที่เคยบอกว่าเธอควรไปอยู่โรงเรียนคนใบ้นั่นเอง ฉันเลยคิดว่าการเรียนรู้ของเธอที่น่าจะทำให้นักเรียนคนนี้ทำงานเขียนได้คงต้องเชื่อมโยงกับประสบการณ์ชีวิตโดยเฉพาะเรื่องราวของตนเอง หรือคนในครอบครัวของตนเอง
จนถึงปลายเทอม นักเรียนในชั้นเรียนต้องช่วยกันทำงานหนังสือส่งหน่วยงาน สช. ฉันเองได้ถามนักเรียนคนนี้ว่าอยากทำอะไร (แอบคิดในใจว่านักเรียนจะตอบว่าถ่ายรูปหรือหาภาพประกอบ) แต่แล้วเธอก็ตอบฉันว่าอยากเขียน ซึ่งฉันเองก็หนักใจ “งานเขียนที่ส่ง สช. เลยเชียวนะ!!” แต่ฉันก็ตัดสินใจให้เธอได้ทำงานในสิ่งที่เธออยากทำอยู่ดี โดยให้ไปเขียนเรื่องของครูบุญรอด ซึ่งท่านเป็นบุคคลที่มีความรู้เรื่องนาเกลือสมุทร ฉันให้นักเรียนทบทวนสิ่งที่เคยพูดคุยกับครูบุญรอดแล้วก็เขียน โดยในงานเขียนเธอได้โยงเรื่องของครูไปสู่เรื่องปู่ของตัวเอง (จริงๆ ด้วยแหละ) เพราะทั้งครูบุญรอดและปู่ของเธอต่างก็ป่วยเป็นมะเร็งปอดทั้งคู่ เธอเขียนถึงครูบุญรอดว่าสงสารและเข้าใจในความทรมาน (เพราะปู่ก็ป่วยเหมือนกัน) และชื่นชมที่ครูบุญรอดยังเป็นห่วงอนาคตของนาเกลือแม้จะป่วยหนัก
นักเรียนส่งงานเขียนนี้อีกสองสามครั้ง โดยฉันแนะนำแหล่งความรู้เพิ่มเติมให้เธอได้ศึกษาเพิ่มเติมประกอบการเขียน ไม่นานงานก็เสร็จและถือเป็นงานเขียนที่ดีพอสมควร เป็นงานเขียนที่มีความยาวมากกว่าหนึ่งหน้ากระดาษชิ้นแรกของเธอและเธอก็ดูภูมิใจกับตัวเอง
สำหรับฉันต้องตอบว่า ไม่อยากเชื่อ ไม่ใช่ในเรื่องที่ว่าฉันช่วยให้นักเรียนคนนี้เขียนงานได้ แต่ฉันกลับทึ่งในเรื่องที่ว่า นักเรียนสามารถเขียนได้ มนุษย์นี้เรียนรู้ได้เกินกว่าที่ฉันคิดจริงๆ แม้แต่คนที่ฉันคิดว่าจะไม่สามารถทำอะไรได้เลย