ธรรมบรรยาย โดยพระอาจารย์ปราโมทย์ ปราโมชฺโช ณ โรงเรียนรุ่งอรุณ
วันอังคารที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ พระอาจารย์ปราโมทย์ ปราโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เมตตามาแสดงพระธรรมเทศนา แก่ครู ผู้ปกครอง นักเรียน โรงเรียนรุ่งอรุณ ตลอดจนผู้มีจิตศรัทธาจากภายนอก ณ เรือนรับอรุณ โรงเรียนรุ่งอรุณ โดยมีปัจจัยทำบุญถวายพระ จำนวน ๖๒,๘๘๖ บาท ปัจจัยทำบุญสนับสนุนการผลิตสื่อธรรมะ จำนวน ๑๗,๐๕๐ บาท ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านค่ะ
นำพระธรรมเทศนาบางส่วนมาแบ่งปันกันค่ะ
“…ไปเจอหนังสือหลวงปู่ดุลย์ บอกจิตออกนอกเป็นสมุทัย ผลที่จิตส่งออกนอกเป็นทุกข์ จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็นมรรค ผลที่จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็นนิโรธ ธรรมชาติของจิตย่อมส่งออกนอก พอส่งออกนอกแล้วก็เพิ่มหวั่นไหวเป็นสมุทัย มีผลเป็นทุกข์ ส่งออกนอกแล้วมีสติอยู่ ไม่กระเพื่อมหวั่นไหว ก็จะเกิดปัญญาพ้นทุกข์ ตอนท้ายท่านสรุปว่า พระอริยะเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย มีจิตไม่ออกนอก มีจิตไม่กระเพื่อมหวั่นไหว มีสติบริสุทธิ์ พ้นจากทุกข์
…ถ้าเราทำอะไรไม่ได้เลย ทำสมถะไว้ก่อน สมถะเป็นแนวตั้งรับอันสุดท้ายแล้ว จะพุทโธ จะดูลมหายใจ ดูท้องพองยุบ อะไรก็ได้ ให้มีเครื่องอยู่ของจิตไว้ก่อน เมื่อจิตมีเครื่องอยู่ แล้วมีความสงบสุขขึ้นมา ก็จะใช้สติปัญญาค้นคว้าพิจารณาธรรมที่จะเดินต่อไปได้
…หลวงปู่ดุลย์บอกว่า การปฏิบัติไม่ยาก ยากก็ตรงที่ไม่ปฏิบัติ
หลักของการปฏิบัติ
ข้อแรก…ทำอะไรไม่ถูก ทำสมถะไว้ก่อน ให้ใจได้พักผ่อน มีเรี่ยวมีแรงขึ้นมา
ข้อสอง…อย่าให้เกินกายออกไป การเรียนรู้ของคนเรา เรียนรู้วนเวียนอยู่ในกายในใจของเรา ถ้าเกินร่างกายของเราออกไปแล้ว ออกข้างนอกไปแล้วล่ะ…มันลืมตัวเองแล้ว การปฏิบัติต้องย้อนมาที่กายที่ใจ ไม่อย่างนั้นไม่เรียกว่า “โอปนยิโก” น้อมเข้ามาหาตัวเอง สิ่งที่เรียกว่าตัวเราเอง คือ กายกับใจนี้เอง…มาเรียนรู้อยู่ที่กายกับใจ
…หลวงปู่สุวัต ท่านเคยไปเรียนกับหลวงปู่มั่น ท่านเล่าให้ฟัง บอกหลวงปู่มั่นสอนท่านว่า ถ้าดูจิตได้ให้ดูจิต ดูจิตไม่ได้ให้ดูกาย ถ้าดูจิตไม่ได้ ดูกายไม่ได้ ให้ทำสมถะ ทำความสงบไว้ ที่ดูกายเพื่อให้เห็นจิต ที่ดูจิตเพื่อให้เห็นธรรม
…ธรรมแสดงอยู่ที่จิต ไม่แสดงอยู่ที่กาย แต่กายเหมือนบ้าน จิตเหมือนเจ้าของบ้าน ตราบใดที่เรายังหาเจ้าของบ้านไม่เจอ เรามาเฝ้าหน้าบ้านไว้ก่อน คอยดูกายไว้ก่อน สักวันหนึ่งเราจะเห็นจิต ถ้าเมื่อไรเห็นจิต กายไม่มีความสำคัญแล้ว ทำไมต้องเอาที่จิต เพราะกุศลเกิดที่จิต อกุศลเกิดที่จิต มรรคผลเกิดที่จิต ไม่ได้เกิดที่กาย
…การที่เห็นกายกับจิตเป็นคนละอันกัน เป็นจุดตั้งต้นของการเจริญปัญญา การเจริญปัญญาต้องเห็นความเป็นไตรลักษณ์ ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ของกาย ของจิต จะเห็นไตรลักษณ์ได้ ขันธ์ต้องแยกก่อน
…ศัตรูของการวิปัสสนา ๑.ลืมกาย ลืมใจ คือ ใจลอย ๒.บังคับกาย บังคับใจ
…ไม่มีกรรมฐานที่ดีที่สุด มีแต่กรรมฐานที่เหมาะกับเรา หรือไม่เหมาะกับเรา
…หลักการปฏิบัติ ๑.ถือศีลห้า ถ้ามีศีลก็มีธรรม แล้วจะได้เมตตา ๒.เจริญปัญญา แยกรูปนาม กายใจ ดูไตรลักษณ์“