เรื่องเล่าจากห้องอบรม : การจัดการเรียนภาษาไทยตามแนว BBL
เล่าเรื่องโดย…ครูชัชฎาภรณ์ ศิลปะสุนทร (ครูอ้อ)
ในวันที่ ๒๐ – ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๕ ทางโรงเรียนประถมได้รับโอกาสจากอาจารย์พรพิไล เลิศวิชา ผู้เชี่ยวชาญการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางของสมอง (Brain based learning) มาสังเกตการสอน เพื่อให้คำ.แนะนำ.ในการพัฒนาการสอนของครู รวมถึงการให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการพัฒนาทักษะการคิดอย่างเป็นระบบของนักเรียนให้กับครูโรงเรียนประถม ซึ่งในสองวันแรกนั้น ในช่วงเช้า อาจารย์จะเข้าสังเกตการสอนของครูภาษาไทยทั้ง ๖ ระดับ คือ ตั้งแต่ชั้น ป.๑-ป.๖ และนำมาสะท้อนผล พร้อมให้คำชี้แนะเพิ่มเติมในช่วงบ่าย ซึ่งอาจารย์ได้ให้ความเห็นที่เป็นประโยชน์มากมาย ซึ่งจะเป็นการพัฒนากระบวนการจัดการเรียนการสอนของครู รวมถึงมุมมองด้านบวกที่เป็นขวัญกำลังใจให้ครูเป็นอย่างมาก เช่น
๑. ครูมีพัฒนาการในการเตรียมสื่อในการสอน เพื่อให้นักเรียนใช้เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ มีการใช้สื่อที่หลากหลายมากขึ้น เช่น บัตรคำ บัตรภาพต่างๆ เป็นต้น
๒. การทำ brain – gym ก่อนเริ่มเรียน ครูต้องเพิ่มเรื่องความจริงจังในการกำกับให้นักเรียนทำ.ท่าอย่างเข็มแข็ง เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อวงจรการทำ.งานของสมองอย่างสมบูรณ์
๓. ครูต้องพัฒนาการทำใบงานให้นักเรียนได้ฝึกเขียนในรูปแบบต่างๆ ที่มากขึ้น เพื่อดึงศักยภาพงานเขียนของนักเรียนให้สูงขึ้น จุดนี้กระบวนการในการสอนต้องมีความเข้มข้นขึ้น หากครูต้องสร้างบรรยากาศการเขียนให้นักเรียนรู้สึกผ่อนคลายและมีความกระตือรือร้น ด้วยการชวนพูดคุยก่อนเขียน
๔. การสอนให้นักเรียนทำ timeline นั้น อาจารย์สนับสนุน เพราะเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก เป็นการช่วยให้นักเรียนได้มองเห็นภาพข้อมูลจากนามธรรมเป็นรูปธรรม และเห็นความสัมพันธ์ของแต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเหตุเป็นผลกัน โดยอาจารย์ได้ให้ความรู้เพิ่มว่า ในการสอนเรื่องนี้ ครูสามารถสอนได้ตั้งแต่ชั้น ป.๑ แต่เนื้อหาที่จะให้นักเรียนได้เรียนรู้นั้น ต้องเป็นเรื่องที่สอดคล้องตามวัยของนักเรียน เช่น การทำ timeline บันทึกเหตุการณ์ของตนเองตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน เป็นต้น
๕. การที่ครูได้นำกระบวนการละครมาสอนวรรณคดี เป็นเทคนิคที่ดี เพราะละครจะเป็นเครื่องมือหนึ่งในการช่วยพัฒนาคุณภาพภายในของนักเรียน จากการเข้าถึงบทบาท เรียนรู้นิสัยของตัวละคร แล้วนำมาปรับใช้กับตนเอง
นอกจากนั้นอาจารย์ยังได้แนะนำเคล็ดลับดีๆ ในการช่วยพัฒนาภาษาของนักเรียน คือ การทำ Daily language เป็นช่วงเวลาให้นักเรียนได้สนุกกับภาษาในเวลาประมาณ ๕ นาที เป็นการช่วยทบทวนความรู้ และเสริมความรู้ในส่วนที่นักเรียนยังบกพร่อง
ในวันที่สาม วันนี้เป็นวันที่มีความเข้มข้นในเนื้อหาเป็นอย่างมาก ซึ่งอาจารย์ให้ความรู้เกี่ยวกับเทคนิควิธี “ทำอย่างไรให้เด็กคิดเป็น” ในการสอนให้คิดนั้นต้องไม่สอนให้คิดด้านเดียว ต้องสามารถนำไปสู่การคิดที่ซับซ้อนได้ ซึ่งกระบวนการที่จะทำให้นักเรียนพัฒนากระบวนการคิดไปสู่การคิดระดับสูง (Higher Thinking Order) นั้น ต้องใช้กระบวนการหลายขั้นตอน ซึ่งต้องเริ่มจากการจำได้ในเรื่องต่างๆ ที่เรียนรู้ที่มีอยู่รอบตัว เป็นพื้นฐานประกอบในการต่อยอดการคิดขั้นสูง
กระบวนการคิดขั้นสูงคืออะไร หลายคนอาจสงสัย อย่างไรจึงเรียกว่านักเรียนสามารถคิดขั้นสูงได้ อาจารย์พรพิไลได้ยกตัวอย่างให้ครูที่เข้าอบรมเห็นภาพเป็นรูปธรรม เช่น หลังจากที่ครูอ่านนิทานให้นักเรียนฟัง เป็นข้อที่พึงปฏิบัติว่า ครูต้องถามคำถามใน ๒ ลักษณะคือ
๑. การใช้คำถามปลายปิด เป็นการถามที่เกี่ยวกับความรู้เป็นส่วนใหญ่ คือ ใคร ทำอะไร ที่ไหน และอย่างไร
๒. การใช้คำถามปลายเปิด ซึ่งคำถามปลายเปิดนี่เองเป็นตัวการสำคัญที่จะกระตุ้นให้นักเรียนได้รู้จักการคิดวิเคราะห์ การสังเคราะห์ เช่น ครูถามว่าแรงจูงใจเบื้องหลังของการกระทำนี้คืออะไร ถ้าเป็นนักเรียน..นักเรียนจะตัดสินใจอย่างไร ทำไมตัวละครตัวนั้นจึงต้องทำอย่างนี้ เป็นต้น ซึ่งการที่นักเรียนจะคิดวิเคราะห์และสังเคราะห์ได้นั้น นักเรียนต้องมีชุดความรู้ความเข้าใจในเรื่องต่างๆ อยู่ในตัวเอง ดังนั้นอย่ามองว่า “ความจำ” ไม่สำคัญ
และคำถามสุดท้ายที่ครูต้องนำมาใช้คือ การใช้คำถามประเภทการประเมินความคิดเห็น เป็นคำถามที่กระตุ้นการคิดของมนุษย์ให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น เช่น นักเรียนจะเลือกอะไร ระหว่าง ….. กับ ….. ลองจัดลำดับความสำคัญของ …… เป็นต้น
จากตัวอย่างจากการสอนนิทานเพื่อฝึกให้นักเรียนได้ยกระดับการคิดนั้น ทำให้ครูเรียนรู้ว่า การตั้งคำถามของครูมีความสำคัญมาก ซึ่งคำถามเป็นตัวช่วยในการจัดระบบความคิดให้นักเรียน ดังนั้นการที่จะทำให้นักเรียนตอบไปสู่ประเด็นสำคัญได้นั้น ต้องมีการย่อยคำถามและไต่ระดับของคำถาม การใช้คำถามควรมีความหลายหลาก เพราะชุดคำถามแต่ละประเภทนั้นต้องใช้วิธีคิดที่ต่างกันในการให้ได้มาซึ่งคำตอบ
ซึ่งคุณครูที่เข้าอบรมต่างสะท้อนว่า การทำเช่นนี้มีความสำคัญและถ้านำไปปรับใช้ในห้องเรียนของตน โดยเลือกชุดคำถามที่เหมาะสมตามพัฒนาการทางด้านความคิดตามวัยของนักเรียน อันจะเป็นการช่วยกันพัฒนานักเรียนของเราให้มีกระบวนการคิดขั้นสูงได้มากขึ้น โดยครูจะเริ่มจากการฝึกให้นักเรียนเป็นผู้สังเกต รู้จักคิดแยกแยะ คิดเปรียบเทียบ คิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ กระบวนการที่ครูทำนั้นจะเป็นการฝึกกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบให้กับนักเรียน
แต่อย่างไรก็ตามในการฝึกพัฒนาการด้านความคิดนั้น ไม่เพียงแค่ทำเฉพาะในโรงเรียนเท่านั้น ทางบ้านก็สามารถทำได้ โดยมีวิธีการง่ายๆ คือ การชวนลูกของท่านพูดคุย การพูดคุยเป็นสิ่งสำคัญมาก ซึ่งทั้งครูและพ่อแม่ต้องเรียนรู้บทบาทของการเป็นผู้สนทนาที่ดี ต้องรู้จักระดับของการพูดคุยว่าอยู่ในระดับใด เป็นการพูดคุยแบบสนทนา เป็นการ Debate หรือเป็นการพูดคุยแบบ dialogue เพื่อที่จะได้คุยถูกจังหวะ สิ่งที่ควรระวังคือ อย่านำความคิดและความรู้สึกของเราครอบลงไปในตัวเด็ก เพราะในการการสอนให้นักเรียนคิดเป็นนั้น จำเป็นต้องฝึกตั้งแต่ระดับอนุบาล เริ่มจากกระบวนการคิดง่ายๆ มาสู่การคิดที่ซับซ้อนตามวัยต่อไป